วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกุหลาบ

      





   กุหลาบชนิดต่างๆ
                สำหรับนักปลูกหน้าใหม่ การได้ศึกษาประเภทต่างๆของกุหลาบนับว่าเป็นประโยชน์ในการที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าจะเลือกปลูกกุหลาบแบบไหน เพราะกุหลาบมีมากมายหลายประเภทและแต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นขนาดของต้น ดอก  สี กลิ่น หรือแม้แต่ความทนทานต่อโรค  ลองทำความรู้จักกับกุหลาบแต่ละประเภท เพื่อคุณจะได้สนุกกับการปลูก
             
                Hybrid Tea 
หรือกุหลาบตัดดอก
 
 เป็นกุหลาบที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมากที่สุดในบรรดากุหลาบที่ปลูกกัน เนื่องจากมีรูปทรงที่สวยงาม สีของดอกที่หลากหลายและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ   กุหลาบประเภทนี้จะออกดอกในลักษณะดอกเดี่ยว  ดอกมีขนาดใหญ่ กลีบดอกซ้อนกันสวยงาม  ก้านดอกแข็ง  ลำต้นตั้งตรงสูงประมาณ 1-2 เมตร มีหลายสีหลายพันธุ์
                พันธุ์ที่นิยมได้แก่พันธุ์คริสเตียน ดิออร์ (Christian Dior)  พันธุ์อเล็กซเรด (Alex's Red)  พันธุ์มิสออลอเมริกัน (MissallAmerican) กุหลาบประเภทนี้นอกจากจะถูกตัดดอกเพื่อนำไปจัดแจกันหรือจัดเป็นช่อดอกไม้ตามร้านดอกไม้แล้วยังปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านและสถานที่ต่างๆด้วย

                 Floribunda หรือกุหลาบพวง   คำว่า Floribunda มาจากภาษาลาตินมีความหมายว่า "many flowers" กุหลาบชนิดนี้เกิดจากาการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง Hybrid Tea และ Polyantha จะออกดอกเป็นช่อ  ช่อหนึ่งๆ จะมีดอกหลายดอกและมักจะบานพร้อมกัน  ดอกมีขนาดเล็ก ก้านดอกสั้นและอ่อน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในแปลงหรือในกระถางเพื่อความสวยงามมากกว่าจะตัดดอก



                Grandiflora เป็นกุหลาบลูกผสมระหว่าง Hybrid Tea กับ Floribunda ทำให้มีดอกขนาดใหญ่ ก้านดอกยาวแข็งแรง  ไม่มีกลิ่นหอ   ลำต้นสูงข็งแรง ทนทาน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับหรือเป็นกุหลาบตัดดอกก็ได้

  

              Miniature หรือกุหลาบหนู เป็นกุหลาบที่มีดอกขนาดเล็ก ออดดอกเป็นพวง  ไม่หอม  ต้นสูงไม่เกิน 1 ฟุต เลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพแวดล้อม นิยมปลูกประดับแปลงหรือเป็นไม้กระถาง

 

             Climber หรือกุหลาบเลื้อย กุหลาบชนิดนี้มีต้นสูงตั้งแต่ 12 ฟุตขึ้นไป ลำต้นตั้งตรง ลำต้นหรือกิ่งจะทอดยาวอ่อนโค้งได้ไกล  เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้เลื้อยเกาะตามซุ้มต้นไม้ แนวกำแพง หรือแนวรั้ว ลักษณะดอกอาจออกดอกเป็นพวงหรือเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่

 

               Shrub หรือกุหลาบพุ่ม เป็นกุหลาบพันธุ์ป่า ต้นเป็นทรงพุ่ม ออกดอกเป็นช่อ เช่นRosa Rugosa


  

                Polyantha  เป็นไม้พุ่มต้นเตี้ย   ออกดอกเป็นพวงดอกขนาดเล็กคล้ายกุหลาบหนู ลำต้นมีความแข็งแรง ทนทาน เป็นกุหลาบลูกผสมระหว่าง Rosa Multiflora กับ Rosa Chinensis


 


                Rambler ลักษณะต้นยาว อ่อนโค้ง ออกดอกเป็นพวง ดอกมีขนาดเล็ก  

                
          
 พันธุ์นิยม
             
          กุหลาบมีมากมายหลากหลายพันธุ์พร้อมจะให้เลือกปลูก ซึ่งแต่ละพันธุ์มีทั้งข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันๆไปแต่ส่วนมากแล้วผู้ปลูกหน้าใหม่มักจะเลือกพันธุ์ที่มีสีสวยไว้ก่อน  ดังนั้นการเลือกพันธุ์ตามลักษณะสีของดอกจึงเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับผู้คิดจะเริ่มปลูกกุหลาบ

                   ลักษณะสีของดอก


  
              


        single color rose  คือกุหลาบที่สีของกลีบดอกมีสีเดียว  ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลังของดอกและทุกๆกลีบมีสีเหมือนกัน
          Multi-color rose  คือกุหลาบที่สีของกลีบดอกเปลี่ยนไปตามอายุการบานของดอก  ในช่วงหนึ่งจะมีหลายสีเพราะดอกบานไม่พร้อมกัน ส่วนมากจะเป็นกุหลาบพวง เช่น พันธุ์ Sambra หรือ Charleston
         Bi-color rose  คือกุหลาบที่สีของกลีบดอกมี 2 สี โดยกลีบด้านในเป็นสีหนึ่ง ด้านนอกเป็นอีกสีหนึ่ง เช่น พันธุ์ Forty Niner
          Blend-color rose คือกุหลาบที่สีของกลีบดอกด้านในมีมากกว่า 2สีขึ้นไป เช่น พันธุ์ Monte Carlo
         Srtiped color rose  คือกุหลาบที่กลีบดอกในแต่ละกลีบมีสีมากกว่า 2 สีขึ้นไป ส่วนใหญ่มักเกิดเป็นสีสลับกันเป็นเส้นตามความยาวของกลีบดอก เช่น พันธุ์ Candy Stripe

  พันธุ์กุหลาบสีต่างๆ
              กุหลาบสีชมพู   เป็นสีที่นิยมปลูกกันมาก นอกจากจะให้ความโรแมนติกและสวยงาม น่ารักแล้วกุหลาบสีชมพูยังเข้ากันได้ดีกับดอกไม้สีอื่นๆในแปลงดอกไม้ของเราอีกด้วย ในสีชมพูของกุหลาบนี้ยังมีหลายเฉดสี เช่น ชมพูเข้ม ชมพูอ่อน ชมพูอมส้ม ชมพูอมขาว เป็นต้น  การจะเลือกปลูกกุหลาบสีชมพูแบบไหนก็แล้วแต่รสนิยมของผู้ปลูก ในที่นี้จะขอนำตัวอย่างพันธุ์กุหลาบสีชมพูสวยๆมาให้ดูกันเพื่ออาจทำให้ผู้ปลูกหน้าใหม่เกิดแรงบันดาลใจ และหามาปลูกกันบ้าง
          Queen Elizabeth  เป็นกุหลาบประเภท Grandiflora  ที่ให้ดอกเดี่ยวคล้ายกับ Hybrid Tea  ดอกดก  สวยงาม  ลำต้น แข็งแรง   ถ้ามีการตัดแต่งกิ่งบ้างจะเป็นพุ่มสวยงาม    เติบโตได้ดีในทุกสภาพอากาศ แต่ถ้าอากาศร้อนดอกอาจเล็กลง 

            


             Bonica   กุหลาบพุ่ม Shrub เป็นพันธุ์ที่เหมาะกับสวนหรือแปลงดอกไม้เล็กๆ  ลำต้นเป็นพุ่มสูงประมาณ 2-4 ฟุต แข็งแรง  ทนทานต่อทั้งสภาพอากาศร้อนและอากาศหนาว  ปลูกและดูแลรักษาง่าย  เจริญเติบโตได้ดี  ดอกดก  ออกดอกเป็นช่อ  สีสวย

            

              กุหลาบสีแดง   ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนกุหลาบสีแดงยังคงครองความเป็นที่นิยมตลอดกาล โดยเฉพาะสีแดงเข้ม กุหลาบแดงนอกจากจะมีสีสวยงามแล้ว ยังมีความหมายถึงความรักอีกด้วย ถ้าคุณจะเริ่มต้นปลูกกุหลาบสักต้น กุหลาบสีแดงนี่แหล่ะใช่เลย ลองพิจารณาเพื่อเป็นตัวเลือกอีกทาง
              Don Juan กุหลาบเลื้อย  Climbing  ดอกสีแดง  ดอกใหญ่กลีบดอกซ้อน สวยงาม รูปทรงของดอกคล้ายกับ Hybrid Tea  ออกดอกเดี่ยวหรืออาจเป็นช่อ  ปลูกไว้เพื่อตัดดอกหรือเป็นไม้ประดับก็ได้ ลำต้นตรง แข็งแรง แต่ไม่สูงมาก  เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้เลื้อยตามสวนเล็กๆหรือตามระเบียง เนื่องจากสีแดงของดอกมองเห็นได้ไกลและสะดุดตา กุหลาบพันธุ์นี้เจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อน
           

             Christian Dior  กุหลาบตัดดอก  Hybrid Tea เป็นกุหลาบที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากดอกสีแดงสด ให้ดอกดก  รูปทรงดอกดี   จำนวนกลีบอกอเหมาะ   กิ่งยาวตรง  แข็งแรง  หนามน้อย ใบค่อนข้างหนา  ดอกบานเต็มที่ขนาด 10-12 ซ.กลิ่นหอมอ่อนๆ

                

              กุหลาบสีเหลือง เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น อาจเป็นเพราะว่าสีเหลืองของดอกทำให้แปลงดอกไม้ดูมีชีวิตชีวาและสวยงามขึ้น  กุหลาบสีเหลืองมีอยู่หลายเฉดสี  เหลืองเข้ม เหลืองอ่อน เหลืองปนขาว เหลืองอมส้ม ที่แน่ๆสวยทุกเฉดสี กุหลาบเหลืองหมายถึงความร่าเริง ความสุข และมิตรภาพ
               Midas Touch กุหลาบตัดดอก Hybrid Tea  ดอกสีเหลืองเข้ม  ดอกใหญ่ รูปทรงดอกดี ก้านดอกแข็ง เหมาะสำหรับเป็นกุหลาบตัดดอก  ต้นสูงประมาณ 4-5 ฟุต  แข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี

              

             Amber Queen  กุหลาบพวง Floribunda สีเหลืองส้ม  รูปทรงดอกดี  ให้ดอกดก  ออกดอกเป็นพวงสวยงาม  กลิ่นหอม ใบสีเขียวเข้มตัดกับดอก ต้านทานโรคได้ดี

          
         
             กุหลาบสีขาว ถูกใช้ในการจัดเป็นช่อดอกไม้เจ้าสาวสำหรับงานแต่งงาน เนื่องจากมีความหมายถึงความบริสุทธิ์  หรือความรักที่บริสุทธิ์

             white Christmas กุหลาบตัดดอก Hybrid Tea   ดอกสีขาว ขนาดใหญ่ กลีบดอกซ้อน ใบขนาดกลาง สีเขียวอ่อน ค่อนข้างมันเป็นเงา  ดอกมีกลิ่นหอม ข้อเสียของกุหลาบพันธุ์นี้คือต้านทานโรคได้น้อย ต้องอาศัยการดูแลรักษาสูง

            Pascali กุหลาบตัดดอก Hybrid Tea ขนาดต้นสูง 5 ฟุต กว้าง 2 ฟุต ใบสีเขียวเข้ม กลีบดอกซ้อน สีขาว รูปทรงดอกสวย  กลิ่นหอมอ่อนๆ 


             

 กุหลาบสีม่วง
            Blue Moon กุหลาบตัดดอก Hybrid Tea ดอกสีม่วง (ชมพูอมฟ้า)  กลิ่นหอมมาก  ใบขนาดกลางสีเขียวไม่เข้มแต่ค่อนข้างมัน ต้นสูงประมาณ 3-4 ฟุต กว้างประมาณ 2 ฟุต เหมาะที่จะปลูกในแปลงหรือเป็นไม้กระถาง ข้อเสียคือต้องระวังโรคเชื้อรา

           

             Burgundy Ice กุหลาบพวง Floribunda  ดอกสีม่วง กลิ่นหอม  ดอกเป็นพวง ใบขนาดเล็ก  ต้นสูงประมาณ ฟุต พุ่มกว้างประมาณ 2-3 ฟุต นิยมปลูกประดับในแปลง ออกดอกประมาณเดือนพฤษภาคม-กันยายน

            

  กุหลาบสีส้ม
            Westerland Rose  กุหลาบเลื้อย  climbing  สีส้มอ่อน กลีบดอกซ้อน  ขอบกลีบมีรอยหยัก  ดอกมีกลิ่นหอม  ลำต้นตั้งตรง แข็งแรง ต้นสูงได้ถึง 8 ฟุต ใบนุ่มสีเขียวเข้ม อาจเกิดโรคราได้ง่าย  นิยมปลูกให้เลื้อยไปตามรั้วบ้าน

       

          Tropicana  กุหลาบตัดดอก Hybrid Tea    ดอกสีส้ม หรือสีแสด ดอกขนาดใหญ่ รูปทรงดอกสวย  กลีบดอกประมาณ 30-35 กลีบ  เป็นกุหลาบที่ชอบแดด  ไม่ชอบน้ำมาก  ออกดอกตลอดฤดู  ดอกมีกลิ่นหอมมาก ต้นสูงตั้งแต่ 3-6 ฟุต กว้างประมาณ ฟุต ใบใหญ่สีเขียวเข้มเป็นมัน   ต้านทานโรคได้น้อยโดยเฉพาะโรคราน้ำค้าง

          



การเตรียมดิน
             สำหรับการปลูกในแปลงปลูก ดินควรเป็นดินที่ร่วนซุย ถ้าดินไม่ค่อยดีควรใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เศษพืชต่างๆ เมื่อพรวนดินแล้วจึงขุดหลุมปลูกอาจปลูกเป็นหลุมละต้น  หลุมกว้างยาวลึก 50-75 ..โดยขุดแบ่งดินเป็น 2 ระดับ ขุดลงไป 30 ..แรก    ควรกองดินไว้ทางหนึ่งเรียกว่าหน้าดิน    อีก 45 ..หลัง กองแยกไว้อีกทางหนึ่งเรียกว่าดินก้นหลุม สำรับหน้าดินให้ตากให้แห้งสนิทประมาณ 6-10วัน ใช้กาบมะพร้าวหรืออิฐหักรองก้นหลุมเพื่อช่วยในการระบายน้ำ  นำปุ๋ยคอกและขุยมะพร้าวผสมโดยใช้ดิน ส่วน ปุ๋ยคอก 1ส่วน ขุยมะพร้าว  ส่วน ในส่วนผสม  ลบ.เมตรเติมปุ๋ยสูตร  5-10-5   ซุปเปอร์ฟอสเฟสหรือกระดูกป่น  กก. คลุกเคล้าให้เข้ากันดี นำไปใส่ในหลุมจนเต็ม จากนั้นรอดินยุบตัวดีจึงลงมือปลูก   ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยที่หาง่ายและสามารถย่อยได้ดีใน   1-2 เดือน ยิ่งถ้าเป็นมูลวัวจะทำให้กุหลาบใช้ประโยชน์จากปุ๋ยได้มากสุดเนื่องจากมูลวัวช่วยให้การเจริญเติบโตของรากกุหลาบดีขึ้น ส่วนกระดูกป่นเป็นปุ๋ยที่ให้ฟอสฟอรัสสูงและสลายตัวช้า ทำให้ต้นกุหลาบไม่โทรมเร็ว

                 

        

             ส่วนการเตรียมดินปลูกในภาชนะ ต้องปรับปรุงดินให้ร่วนซุยมากๆ เพราะหลังจากปลูกไปแล้ว จะปรับปรุงดินได้ยากกว่าในแปลง ถ้าดินไม่ร่วนซุยพอ จะทำให้ดินจับตัวเป็นก้อนและทำให้ระบายน้ำไม่ได้ เมื่อรดน้ำน้ำจะขังและทำให้กุหลาบเหี่ยวและตายได้   นอกจากนี้การปลูกในภาชนะดินต้องมีธาตุอาหารเพียงพอ ดังนั้นจึงนิยมใช้ดินผสมที่มีขายตามท้องตลาดหรืออาจผสมเองก็ได้ โดยใช้ดินร่วนหรือดินทรายผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เศษวัสดุต่างๆ จนดินมีสภาพเหมาะสมกับการปลูก

           
           

               สำหรับการปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับสถานที่หรือสวนหย่อม ควรเตรียมหลุมปลูกหรือและปรับปรุงดินไว้ล่วงหน้าและคำนึงถึงการระบายน้ำ โดยอาจยกระดับดินบริเวณหลุมปลูกให้สูงกว่าระดับสนามเล็กน้อย เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังโคนต้น

การเลือกทำเลปลูก
  เมื่อคุณตัดสินใจที่จะปลูกกุหลาบ คุณต้องคิดเสมอว่ากุหลาบต้องอยู่กับคุณและออกดอกให้คุณได้ชื่นชมไปนานๆ ดังนั้นการเลือกทำเลปลูกที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำเลที่ดีจะทำให้กุหลาบของคุณเจริญเติบโตได้ดี ออกดอกให้คุณมากๆ ทั้งยังแข็งแรงไม่เป็นโรค ปัจจัยในการเลือกทำเลปลูกที่ดีต้องประกอบด้วย


  ดินดี
             ทำเลที่จะปลูกควรมีดินที่อุดมสมบูรณ์ ดินที่ดีต้องมีอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารมากพอ  ไม่มีความเป็นกรดเป็นด่างมากเกินไป   ค่า pH ของดิน ที่กุหลาบชอบอยู่ที่ 5.5-6.5 หรือดินเป็นกรดเล็กน้อย (7.0 ดินเป็นกลาง มากกว่า 7.0 ดินมีความเป็นด่างและน้อยกว่า 7.0 ดินมีความป็นกรด) ถ้าดินมีความเป็นด่างมากไปจะทำให้ธาตุเหล็กในดินน้อยส่งผลให้กุหลาบใบเหลือง และไม่เจริญเติบโต
 น้ำเพียงพอ
               แม้กุหลาบจะทนความแห้งแล้งได้ดีแต่กุหลาบก็ต้องการน้ำมากและต้องการตลอดปี ถึงกระนั้นก็ตามกุหลาบก็ไม่ชอบดินที่เปียกชื้น  ดังนั้นการระบายน้ำในดินก็ต้องดีด้วยเช่นกัน  มิฉะนั้นจะเกิดน้ำท่วมขัง หากแปลงปลูกที่การะบายน้ำไม่ดี อาจใช้วิธีการยกแปลงปลูกให้สูงขึ้นประมาณ 18 นิ้วก็ได้

 

   ไม่ควรรดน้ำหลัง 15.00 น.เพราะใบที่เปียกและดินชื้นตลอดทั้งคืนจะทำให้กุหลาบเป็นโรคได้

                แสงแดด กุหลาบเป็นพืชที่ชอบแสงแดด ดังนั้นปัจจัยหลักในการเลือกทำเลก็คือแสงแดดนั้นเอง   การได้รับแสงแดดสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 6-8 ช.เริ่มตั้งแต่แดดในช่วงเช้า  จะทำให้กุหลาบเจริญเติบโต  แตกใบ แตกยอดได้ดี และนั่นย่อมหมายถึงให้ดอกดกด้วย นอกจากนั้นแสงแดดตอนเช้าจะช่วยทำให้ใบกุหลาบแห้งเร็ว  ไม่เปียกชื้นลดการเสี่ยงต่อโรคราต่างๆ  ถ้ากุหลาบได้รับแสงแดดไม่เพียงพอจะทำให้ ดอกมีขนาดเล็ก ดอกไม่ดก ต้นไม่แข็งแรง เกิดโรคได้ง่าย
              อุณหภูมิ  กุหลาบชอบแสงแดดก็จริงแต่ไม่ชอบอุณหภูมิหรืออากาศที่ร้อนจัด หากปลูกในที่ที่อากาศร้อนมากๆ กุหลาบจะชะงักการเจริญเติบโตและให้ดอกที่ไม่สมบูรณ์
              ลม   การปลูกกุหลาบในที่โล่งแจ้งมีลมพัดแรงจะทำให้ต้นกุหลาบโยกคลอน ทำให้รากไม่ยึดจับดินและรากอาจขาดได้  ลมจะทำให้กุหลาบคายน้ำเร็วจึงทำให้ต้นเหี่ยวเฉา ถ้าทำเลที่ปลูกมีลมแรงต้องทำที่กำบังลม หรือปลูกไม้กันลม
              ระยะห่าง  กุหลาบต้องการระยะห่างเพื่อจะได้แผ่กิ่งก้านออกไปได้ การปลูกกุหลาบแน่นเกินไปทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี  และทำให้กุหลาบเป็นโรคได้ง่าย หลักในการเผื่อระยะห่างให้กุหลาบก็คือเผื่อระยะห่างให้เท่ากับความสูง       
 ยกตัวอย่างเช่นถ้ากุหลาบของคุณมีแนวโน้มว่าจะสูงถึง 4-5 ฟุต คุณก็ต้องเผื่อระยะห่างให้กว้างประมาณนั้น

การคลุมดิน
              กุหลาบเป็นพืชที่ชอบความชื้นสูงและอากาศในดินดี การใช้วัสดุคลุมดินจึงเป็นการรักษาความชื้นและความโปร่งของดินในแปลง  หลังจากการปลูกและรดน้ำแล้วควรคลุมหน้าดินแปลงปลูกทันทีเพื่อให้หน้าดินโปร่งไม่จับแข็งแน่น ต้นพืชไม่ขาดอากาศในดิน รากพืชเดินไวและพืชเจริญเติบโตได้ดี ทั้งยังช่วยรักษาความชื้นให้ดินทำให้ไม่ต้องรดน้ำบ่อย วัสดุที่ใช้คลุมดินเมื่อผุเปื่อยก็จะเป็นประโยชน์ต่อดินอีกด้วย   นอกจากนี้การคลุมดินแปลงปลูกยังช่วยป้องกันวัชพืชขึ้นรบกวนอีกด้วย

  วัสดุที่ใช้คลุม
               ควรเป็นวัสดุที่หาง่าย ราคาถูก เช่นฟาง หญ้าแห้ง เปลือกถั่วลิสง ขุยมะพร้าว ชานอ้อย ข้อควรระวังคือวัสดุบางอย่างสลายตัวไม่ดีเช่น ชานอ้อย ซังข้าว ขี้เลื่อย หญ้าแห้ง ดังนั้นควรทำให้อยู่ในสภาพผุเปื่อยก่อนนำไปใช้ หรือถ้าต้องใช้ทันทีต้องเติมแอมโมเนียซัลเฟต หรือปุ๋ย ยูเรีย ไม่เช่นนั้นกุหลาบอาจเกิดอาการใบเหลืองเนื่องจากขาดธาตุไนโตรเจนหรือทำให้รากเสียได้

      
                                                                          

 วิธีการคลุมดิน
            ควรคลุมให้หนาประมาณ 2 นิ้ว ห่างจากโคนต้นประมาณ 4-5 นิ้ว เพื่อป้องกันวัสดุที่สลายตัวยากอาจทำให้โคนต้นไหม้ และยังเพิ่มความสะดวกในการรดน้ำด้วย การเพิ่มวัสดุคลุมดินควรทำทุกปี ตอนเริ่มต้นหน้าหนาวเป็นต้นไป

            
    

การให้ปุ๋ย
        อย่างที่ทราบกันแล้วว่าปุ๋ยเป็นอาหารของต้นพืช พืชจะนำเอาอาหารไปสังเคราะห์เป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต บำรุงต้น ใบ ดอก  ปุ๋ยจึงจำเป็นต่อต้นกุหลาบโดยเฉพาะธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม แคลเซียม เหล็ก โบรอน แมงกานีส ทองแดง สังกะสี คลอรีนและซัลเฟอร์ โดยธาตุอาหารเหล่านี้จะแบ่งเป็น 2 พวกคือธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรอง
ธาตุอาหารหลัก
         เป็นธาตุที่พืชต้องการใช้ในปริมาณมากดังนั้นดินที่ใช้ปลูกจึงมักขาดธาตุเหล่านี้เสมอ โดยเฉพาะถ้าดินนั้นใช้ปลูกไปนานๆก็จะขาดธาตุเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องหามาเพิ่มเติมโดยการใส่ปุ๋ยในรูปแบบต่างๆซึ่งธาตุอาหารในกลุ่มนี้จะมีอยู่ 3 ธาตุคือ
           ไนโตรเจน (N) 
            ฟอสฟอรัส  (P) 
            โปแตสเซียม (K)
    

           ไนโตรเจน ช่วยสร้างส่วนเจริญเติบโตที่เป็นสีเขียวในต้นพืชและยังเป็นส่วนสำคัญของคลอโรฟิลด้วย ในระยะที่พืชกำลังเจริญเติบโตต้องการธาตุนี้มาก และธาตุนี้จะได้จากอินทรีย์วัตถุในดินซึ่งมักจะมีไม่พอจึงต้อมีการเติมธาตุนี้ลงในดิน  การใส่ปุ๋ยไนโตรเจนควรใส่ครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้ง ปุ๋ยชนิดนี้ละลายน้ำได้ง่ายจึงอาจสูญเสียได้ง่ายเช่นกัน  กุหลาบที่ได้รับปุ๋ยนี้พอเพียงจะมีใบเขียวเข้มขึ้น ดอกสะอาด หากขาดธาตุนี้ใบจะเหลือง กิ่งก้านอ่อนแอ
           ฟอสฟอรัส ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากและดอก ช่วยเคลื่อนย้ายและสะสมธาตุอาหารภายในต้นพืช ตามธรรมดาดินจะมีธาตุนี้ในปริมาณที่เพียงพอแต่มักจะอยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ยาก หรือพืชดูดเอาไปใช้ได้ยาก นอกจากนั้นยังไม่ค่อยเคลื่อนที่ในดินเมื่อใส่ตรงไหนจะอยู่ตรงนั้น ดังนั้นการใส่ปุ๋ยนี้จึงควรใส่บริเวณที่มีรากมากๆ เช่นใส่รองก้นหลุม ใส่ตามแนวปลายรากเพื่อให้พืชนำไปใช้ได้โดยตรง สำหรับอินทรีย์วัตถุที่มีธาตุนี้มากได้แก่กระดูกป่น ดังนั้นในการปลูกกุหลาบจึงนิยมเอากระดูกป่นผสมลงในดินด้วย   สำหรับกุหลาบที่ขาดธาตุนี้ใบจะมีสีเขียวออกเทา ใต้ใบแก่จะมีแถบสีม่วง หรือขอบใบไหม้
          โปแตสเซียม ธาตุนี้จะช่วยให้ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสทำหน้าที่ได้ดีขึ้น ธาตุนี้จะช่วยให้กลีบดอกดีและเพิ่มความต้านทานโรคได้ดี กุหลาบที่ขาดธาตุนี้ขอบใบจะเป็นสีน้ำตาล คล้ายการไหม้
การใส่โปแตสเซียมมากเกินไปจะทำให้ต้นแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโต การใส่ธาตุนี้อาจใส่ขณะเตรียมดินหรือใส่ภายหลังก็ได้ ควรใส่เป็นจุดๆ ลึกลงไปใต้ผิวดินใกล้บริเวณราก อย่าให้ชิดรากมากนักเพราะอาจทำให้รากไหม้ได้

 ธาตุอาหารรอง
       เป็นธาตุอาหารอื่นๆที่ไม่ใช่ 3 ธาตุที่กล่าวไปแล้ว เป็นธาตุที่ใช้น้อยแต่จำเป็นต้องใช้ ปกติจะไม่ค่อยใส่เนื่องจากในดินมีอยู่แล้ว ยกเว้นดินบางที่อาจขาดธาตุใดธาตุหนึ่ง เช่นแคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียมและโบรอน
ธาตุแคลเซียม   ช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ถ้าขาดธาตุนี้ขอบใบจะแห้งตาย ส่วนตัวใบจะเป็นสีเขียวอมเหลือง ใบจะร่วงก่อนแห้งตาย ดอกมีจุดสีน้ำตาลที่ขอบกลีบดอก กลีบดอกหงิกงอ
ธาตุเหล็ก ช่วยในการสร้างคลอโรฟิลให้พืช  การขาดธาตุนี้ทำให้ใบเหลือง ใบหงิกงอ ใบจะมีสีขาวนวลโดยจะเกิดกับใบที่ผลิใหม่และลุกลามไปทั่วใบเราจะหาธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองได้ในปุ๋ยอินทรีย์เช่นปุ๋ยคอกโดยเฉพาะมูลวัวเหมาะที่สุดสำหรับกุหลาบ  ปุ๋ยปลาช่วยให้ต้นกุหลาบแข็งแรง ออกดอกดก  ปุ๋ยกระดูกมีฟอสฟอรัสสูงเหมาะสำหรับกุหลาบ    ปุ๋ยเลือดมีไนโตรเจนสูงช่วยให้ต้นเจริญเติบโตเร็ว

   สำหรับปุ๋ยอนินทรีย์หรือปุ๋ยเคมีจะมีธาตุอาหารหลักสูงอยู่แล้ว ดังนั้นการเลือกใช้จึงต้องเลือกให้เหมาะสม สำหรับกุหลาบมักใช้ 3 สูตรคือ สูตร 5-10-5 สูตร 4-12-4สูตร 6-12-4 และควรใช้ให้สอดคล้องกับสภาวะอากาศเช่นต้นฤดูฝน  ต้นฤดูหนาว หรืออาจใช้ให้เหมาะกับระยะออกดอก  ระยะเริ่มแตกตาแตกยอด

 วิธีการให้ปุ๋ย
            การให้ปุ๋ยเคมี   ควรโรยเป็นวงห่างจากโคนต้นประมาณ 1 ฟุต ไม่ควรให้เกินปีละ 5-6 ครั้ง ให้ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะแล้วแต่ขนาดต้นเล็กหรือใหญ่ ต้องรดน้ำก่อนและหลังใส่ปุ๋ยเคมีทุกครั้งโดยรดน้ำก่อน 1 วันและรดทันทีหลังใส่ปุ๋ย
            การให้ปุ๋ยทางใบ อาจมีการผสมสารกำจัดศัตรูพืชแล้วพ่นในเวลาเดียวกันได้ การพ่นควรพ่นใต้ใบให้ทั่ว ควรผสมยาจับใบเพื่อให้แน่ใจว่าธาตุอาหารจะติดกับใบอย่างสนิท การใช้ยามากอาจเกิดผลเสียจึงควรทำตามข้อแนะนำอย่างเคร่งครัด ควรให้ปุ๋ยทางใบสลับกับให้ปุ๋ยทางราก การพ่นปุ๋ยควรพ่นจนเปียกและน้ำหยดจากใบพืชจะได้รับปุ๋ยเต็มที่
ปลูกแบบไหน
          สำหรับนักปลูกหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น การปลูกเป็นแปลงหรือสวนเล็กๆ  ปลูกกุหลาบเพียงต้นเดียวก็ทำให้สวนของคุณสวยได้เช่นกัน เพียงแต่คุณต้องเลือกว่ากุหลาบของคุณจะถูกปลูกในลักษณะไหน  ลองเลือกดูที่ถูกใจสักแบบ

 ปลูกเป็นไม้กระถาง
          การปลูกกุหลาบในกระถางเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ปลูกที่ต้องการปลูกกุหลาบหลายๆชนิด เพื่อช่วยเพิ่มสีสันให้กับลานบ้าน ดาดฟ้าหรือระเบียงบ้านของคุณ และยังเหมาะสำหรับบ้านที่มีเนื้อที่จำกัด โดยทั่วไปกุหลาบทุกชนิดรวมทั้งกุหลาบเลื้อย สามารถปลูกในกระถางได้ดี แต่นั่นย่อมหมายถึงกระถางของคุณต้องใหญ่พอและคุณต้องดูแลให้ปุ๋ยให้น้ำอย่างสม่ำเสมอด้วยเมื่อคุณคิดจะปลูกกุหลาบในกระถางสิ่งแรกที่คุณต้องพิจารณาคือคุณจะใช้กระถางแบบไหน มีกระถางมากมายหลายแบบให้เลือกเช่น กระถางพลาสติก กระเบื้อง โลหะหรือกระถางไม้จากนั้นต้องคิดถึงขนาดของกระถางที่จะใช้ควรมีส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 50 ซ.และลึกไม่น้อยกว่า 40 ..เพื่อที่รากจะได้เติบโตได้เต็มที่และต้องแน่ใจว่ามีรูระบายน้ำที่ก้นกระถางด้วยเพื่อไม่ให้ดินอุดทางระบายน้ำก่อนใส่ดินควรใช้เศษอิฐหรือเศษกระถางวางทับที่ปากรูระบายน้ำจากนั้นปูทับด้วยหญ้าหรือฟางหรือดินผสมทรายหยาบๆปิดทับอีกชั้นหนึ่่ง
            สำหรับดินที่ใช้ปลูกต้องเป็นดินที่ร่วนซุย มีธาตุอาหารเพียงพอ จึงนิยมใช้ดินผสมที่มีขายตามท้องตลาดหรือผสมเองโดยใช้ดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักเริ่มต้นการปลูกด้วยการใส่ดินลงในกระถางประมาณ 2 ใน 3 ของกระถาง จากนั้นนำกิ่งหรือต้นกุหลาบวางลงในกระถางกะระดับไม่ให้ลึกหรือตื้นเกินไป ใส่ดินที่เหลือและเกลี่ยกลบดินเบาๆ เพื่อให้ดินกระชับโคนต้น ถ้าปลูกด้วยกิ่งติดตาต้องให้ตาอยู่เหนือระดับผิวดินพอดี จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มเพื่อให้ดินกระชับราก  วางกระถางให้อยู่ในจุดที่มีแสงแดดส่องถึง  หมั่นรดน้ำทุกวันเนื่องจากดินในกระถางจะแห้งเร็วกว่าดินในแปลงปลูก ในการรดน้ำควรรดที่โคนต้น ไม่ควรรดใบให้เปียกเพราะอาจทำให้เกิดเชื้อราได้



   ปลูกกุหลาบเป็นรั้ว
          รั้วกุหลาบสร้างความคลาสิคให้กับบ้านสิ่งสำคัญในการปลูกรั้วกุหลาบคือต้องเลือกพันธุ์ที่ดูแลง่าย ต้านทานโรคได้ดีและให้ดอกตลอดทั้งปีทำเลในการเลือกปลูกรั้วกุหลาบต้องเป็นที่โล่งแจ้งทั้งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี การปลูกกุหลาบเป็นรั้วอาจเลือกปลูกกุหลาบเพียงสีเดียวหรือลองปลูกสองสีสลับกันก็ได้  รั้วอาจไม่ต้องยาวมากควรปลูกประมาณ 4-5 ต้นในหนึ่งแถว และควรปลูกใกล้ๆกัน ระยะห่างประมาณ 1.5 ฟุต - 2 ฟุต การเตรียมดินก็เหมือนการปลูกรั้วต้นไม้ทั่วๆไปคือต้องเตรียมดินล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนปลูก  บำรุงดินด้วยปุ๋ย จากนั้นขึงแนวรั้วด้วยเชือก อาจปลูกเป็นสองแถวก็ได้เพื่อให้พุ่มหนาแน่น เมื่อได้เวลาแล้วขุดหลุมให้กว้างพอประมาณ นำต้นกุหลาบที่รดน้ำชุ่มแล้วลงปลูกอย่างระมัดระวัง จากนั้นกลบดินแล้วรดน้ำให้ทั่ว



  ปลูกเป็นไม้ตามขอบทาง
            การปลูกกุหลาบตามขอบทางเช่นริมสองข้างทางเดินเข้าบ้าน ก็สร้างความสวยงามให้บ้านของคุณได้เช่นกัน  สิ่งสำคัญคือการเลือกพันธุ์และสีสันของกุหลาบ อาจจะปลูกสีเดียวตลอดหรืออาจปลูกสองสีสลับกันแล้วแต่จะชอบ การปลูกอาจเลือกปลูกเป็นแนวยาวตามขอบทางเดินเข้าบ้านหรืออาจจัดเป็นพุ่มวงกลมเล็กๆ เรียงแถวกันไปตามทางเดินก็สวยไปอีกแบบ  พันธุ์ที่เหมาะจะปลูกควรเป็นพุ่มเตี้ย และดูแลรักษาง่าย เช่นกุหลาบหนู


  ปลูกเป็นซุ้ม
             ซุ้มกุหลาบให้ความสวยงามและโรแมนติกสุดๆ  แน่นอนกุหลาบที่เหมาะจะปลูกเป็นซุ้มต้องเป็นกุหลาบเลื้อย  ส่วนสีไหนและพันธุ์ไหนก็คงต้องอยู่ที่ความชอบของผู้ปลูกเอง  ควรเลือกพันธุ์ที่ทนทาน ดูแลง่ายและออกดอกตลอดปี   ซุ้มกุหลาบอาจเป็นซุ้มหน้าประตู   ซุ้มม้านั่ง  เรือนต้นไม้ หรือเสา  การปลูกกุหลาบเลื้อยไม่ใช่ปล่อยให้กุหลาบเลื้อยไปเองเพราะกุหลาบไม่เหมือนไม้เลื้อยอื่นๆ ต้องอาศัยการช่วยจัดและดัด โดยการผูกกิ่งกุหลาบกับซุ้มที่รองรับ เพื่อจัดให้กุหลาบเลื้อยขึ้นด้านบนหรือออกด้านข้างแล้วแต่ผู้ปลูกจะจัด
           
 
  การตัดแต่งกิ่ง
               หลังจากปลูกกุหลาบได้ระยะหนึ่งจำเป็นต้องมีการตัดแต่งกิ่ง มิฉะนั้นกุหลาบจะเจริญเติบโตอย่างไม่มีทิศทาง จะแตกกิ่งก้านมากเกินไปทำให้ดอกเล็ก ต้นหนาทึบดูแลยากและโรคและแมลงเข้าทำลายได้ง่าย

               จุดประสงค์ในการตัดแต่งกิ่ง
    1 เพื่อปรับรูปทรงของพุ่มต้นให้ดีขึ้นไม่ให้สูงหรือหนาจนเกินไป จะได้ง่ายในการดูแลรักษา
  2 เพื่อบังคับให้มีการแตกกิ่งจากส่วนต่างๆของต้นซึ่งมักเป็นกิ่งขนาดโตเรียกว่ากิ่งกระโดง ดอกที่เกิดจากกิ่งนี้จะมีขนาดโต
   3 เป็นการกำจัดโรคและแมลงที่มีอยู่ตามกิ่งให้หมดไป
   4 ช่วยในการแต่งดินในแปลงได้สะดวกขึ้นฤดูในการแต่งกิ่ง ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศในแต่ละท้องที่แต่นิยมทำตอนที่ตาเริ่มแตกยอดใหม่ ทำปีละ 2 ครั้ง ประมาณเดือน มิถุนายน และ เดือนพฤศจิกายนและอาจทำทุกระยะของช่วงการเจริญเติบโต
                                    
             ภาพแสดงการเปรียบเทียบก่อนและหลังการตัดแต่ง

               


             หลักในการตัดแต่งกิ่ง
        ตัดกิ่งแห้งตายออก เช่นกิ่งแห้งในพุ่มหรือกิ่งแขนง กิ่งที่มีสีดำหรือสีน้ำตาล
        2 ตัดกิ่งที่เป็นโรคหรือกิ่งที่แมลงทำลาย เช่นกิ่งหนามดำ กิ่งที่มีเพลี้ย ควรตัดออกให้หมดเพื่อไม่ให้กระจายไปกิ่งอื่นๆ
        3 ตัดกิ่งซักเกอร์ (suckers) ซึ่งเป็นกิ่งที่แตกออกมาจากต้นตอออกให้หมด ในกรณีที่กุหลาบนั้นได้จากการติดตา
        4 ตัดกิ่งล้มเอน กิ่งเกะกะ ที่ทำให้ไม่สะดวกในการดูแลรักษา
        5 ตัดกิ่งแก่ที่ไม่ต้องการออก
        6 ตัดกิ่งให้สั้นตามต้องการ มากน้อยขึ้นอยู่กับพันธุ์ สภาพดินและลักษณะอากาศในท้องที่ โดยแบ่งการตัดเป็น 3 ระดับคือ ตัดสั้นเพียงเล็กน้อยโดยตัด1 ใน 3ของความสูงเดิม  ตัดแต่งพอประมาณ ตัดส่วนบนทิ้งไปประมาณ 1 ใน 2  ตัดแต่งอย่างหนัก ตัดส่วนบนทิ้งไปประมาณ 2 ใน 3
         7 ตัดกิ่งไขว้ออก คือกิ่งที่เจริญในพุ่มรวมทั้งกิ่งที่ห้อยไปคลุมกิ่งอื่น
         8 การตัดควรทำมุม 45 องศา ควรตัดเหนือตาประมาณ 1/4 และให้ตาอยู่ทางด้านส่วนสูงของรอยเฉียง
         9 ทาขอบแผลรอยตัดกิ่งที่มีขนาดโตกว่าดินสอด้วยสีน้ำมันหรือปูนแดงเพื่อป้องกันการแห้งตายของปลายกิ่งที่เกิดจากการทำลายของหนอนเจาะต้นและเชื้อรา
                                 
การขยายพันธุ์

              ในการขยายพันธุ์กุหลาบเราสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การตัดชำ  การติดตา การตอนกิ่ง และการเพาะเมล็ด  บางครั้งเพื่อให้ได้ต้นกุหลาบที่มีรากแข็งแรง และให้ผลผลิตสูงเกษตรกรมักนิยมกุหลาบพันธุ์ดีที่ติดตาบนตอกุหลาบป่า
            การตอนกิ่ง
           วิธีนี้เป็นที่นิยมมาก เพราะทำได้ง่ายและเห็นผลเร็ว กิ่งที่เลือกต้องเป็นกิ่งที่สมบูรณ์ ไม่มีโรคหรือแมลงทำลาย  ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป คือสีเปลือกเขียวเข้มจนถึงน้ำตาลอ่อน  เปลือกล่อนออกจากกิ่งได้ง่าย วิธีตอนที่นิยมทำคือ การตอนแบบหุ้มกิ่ง โดยใช้มีดคมๆ ควั่นเปลือกรอบกิ่ง 2 รอย ห่างกันประมาณ 2.5-3 ซม. ให้รอยควั่นด้านบนอยู่ใต้ตาเล็กน้อย  กรีดตามยาวและลอกเอาเปลือกออก แล้วใช้สันมีดขูดเมือก ออกให้หมด จากนั้นนำขุยมะพร้าวที่แช่น้ำจนอิ่มตัวหุ้มตรงรอยควั่น นำถุงพลาสติกมาหุ้มทับอีกที แล้วมัดด้วยเชือกที่หัวท้ายให้แน่น กิ่งตอนจะเริ่มออกรากในเวลา 2-3 สัปดาห์
            

 การติดตา
           นิยมติดตาพันธุ์ดีบนต้นตอกุหลาบป่า ได้แก่ Rosa multiflora หรือ R.indical (R. chinensis) ซึ่งมี ความแข็งแรงและทนทาน ก่อนทำการติดตาต้องเตรียมต้นตอและเลือกตาพันธุ์ดีที่จะนำมาติด ควรเลือกต้นกุหลาบป่าที่กำลังเจริญเติบโต เปลือกล่อนจากเนื้อ  ตาที่ใช้ควรเป็นตาจากกิ่งที่ดอกเริ่มเหี่ยวประมาณ ตาที่ 3-4 นับจากตาแรกที่อยู่ใกล้ดอกลงมาหรือเลือกจากกิ่งที่สมบูรณ์เต็มที่  โดยเลือกเอาตาที่นูนเด่นชัด วิธีการที่นิยมทำคือ การติดตาแบบตัวที (T-budding) โดยกรีดต้นตอตามทางยาวประมาณ 3-4 ซม. แล้วตัดขวางชิดกับรอยกรีดด้านบน ใช้มีดเผยอเปลือกตามรอยกรีดด้านบนออกทั้งสองข้าง จากนั้นใช้มีดเฉือนตาจากกิ่งพันธุ์ดีที่เตรียมไว้ให้เท่ากับแผลบนต้นตอ นำแผ่นตาสอดลงไปในแผลบนต้นตอ พันด้วยพลาสติกให้แน่น หลังจากติดตา 7-10 วัน ถ้าแผ่นตายังเป็นสีเขียวแสดงว่าการติดตาได้ผล การขยายพันธุ์ด้วยการติดตานี้ทำให้กุหลาบของเรามีดอกได้หลายสีในต้นเดียวกัน

         

 การปักชำกิ่ง
           วัสดุปักชำ ได้แก่ ทรายหยาบผสมกับขี้เถ้าแกลบ ในปริมาณเท่าๆ กัน กิ่งที่จะใช้ปักชำควรเป็นกิ่งที่มีดอกเริ่มแย้ม  หรือกิ่งที่ดอกบานไปแล้วไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ตัดให้มีความยาว 5-6 นิ้ว มีใบติด 3-5 ใบ ขึ้นไป ตัดแล้วนำไปจุ่มในน้ำก่อนนำไปปักชำ ช่วงเวลาในการตัดกิ่งควรเป็นตอนเช้าหรือตอนเย็น วิธีนี้นิยมใช้ขยายพันธุ์กุหลาบหนู

        

  การเพาะเมล็ด
            จะต้องให้เมล็ดผ่านอุณหภูมิต่ำชั่วระยะเวลาหนึ่งจึงจะงอก โดยธรรมชาติของกุหลาบจะติดเมล็ดในอากาศหนาวหรือเขตอบอุ่น  เมล็ดจึ่งไม่สามารถงอกได้ทันทีที่อุณหภูมิห้องปกติ เมื่อนำเมล็ดกุหลาบไปเพาะในภาชนะที่ใส่วัสดุเพาะ เช่น ขุยมะพร้าวที่ชื้นคลุมด้วยถุงพลาสติกแล้ว จะต้องนำไปเพาะในตู้เย็นประมาณ 3-4 สัปดาห์ จะมีจำนวนเมล็ดงอกประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ แล้วจึงนำออกมาไว้ข้างนอก เมื่อต้นกล้างอกหมด แล้วจึงย้ายลงกระถางหรือถุงชำ

โรคกุหลาบ

              หากคุณคิดจะปลูกกุหลาบสิ่งที่คุณควรคำนึงถึงก็คือโรคกุหลาบซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้ปลูกกุหลาบต้องพบเจอ       โรคกุหลาบจะทำให้กุหลาบของคุณไม่สมบูรณ์ ใบไหม้เหลือง  ดอกไม่งาม  ดอกเน่าเสียหรือแม้แต่ต้นอาจตายได้  โรคกุหลาบจึงนับเป็นศัตรูที่สำคัญของกุหลาบเพราะบางครั้งกว่าจะทราบ กุหลาบของคุณก็เกิดโรคไปแล้ว  สิ่งที่จะช่วยกุหลาบของคุณได้ก็คือการป้องกันมากกว่าการรักษา โรคกุหลาบมีมากมายได้แก่
            โรคราสนิม (Rust)         เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งซึ่งแพร่กระจายได้ดีในอากาศชื้น โรคนี้มักเกิดในฤดูฝนและเกิดกับใบแก่ โดยที่ใต้ใบจะมีผงสีส้ม คล้ายผงแป้ง ส่วนด้านบนของใบจะมีจุดสีเหลืองหรือสีน้ำตาลเกิดขึ้น
            วิธีการป้องกันและรักษา  เด็ดใบที่เกิดโรคทิ้งรวมทั้งใบที่ร่วงตามพื้นดินทิ้งด้วย  หลีกเลี่ยงการรดน้ำที่ใบเพราะเชื้อราจะแพร่กระจายได้ดีในน้ำ  หากจำเป็นอาจฉีดพ่นด้วยยาที่มีส่วนประกอบของกำมะถัน


              โรคราแป้ง(Powderly mildew)          เกิดจากเชื้อราSphaerotheca pannosa ที่สปอร์ของราแพร่กระจายมาตามลม เชื้อนี้จะระบาดได้ดีโดยเฉพาะในอากาศที่กลางคืนหนาวและชื้นส่วนกลางวันอากาศอุ่นและแห้ง โดยมากมักเกิดกับใบย่อยหรือยอดอ่อน ที่ใบจะมีลักษณะเป็นผงสีขาวคล้ายแป้งเคลือบอยู่บนผิวใบทั้งด้านบนและใต้ใบ ทำให้ใบหงิกงอ ถ้าเป็นมากใบอาจเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือดำและร่วง ถ้าเป็นที่ดอกตูมดอกจะไม่บาน
             วิธีการป้องกันและรักษา  กำจัดใบที่เกิดโรครวมทั้งใบที่ร่วงตามพื้นดินทิ้ง ฉีดพ่นด้วยยาเบนเลท  คาราเทนหรือกำมะถันผง  สำหรับกำมะถันผงควรฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น ถ้าใช้ในวันที่อากาศร้อนจัดจะทำให้ใบไหม้

              

             โรคใบจุดดำ (Black spot)       โรคนี้เกิดขึ้นตลอดทั้งปีแต่จะเกิดรุนแรงมากในช่วงฤดูฝน หรือฤดูหนาวที่มีน้ำค้างมาก สปอร์ของราที่อยู่บนใบแก่ที่ร่วงตามพื้นดินหรือที่อยู่ตามง่ามกิ่งจะปลิวไปติดใบที่ไม่เป็นโรค เมื่อได้รับความชื้นติดต่อกันประมาณ 6-8ชั่วโมง สปอร์จะงอกเข้าไปในต้น หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์  อาการก็จะปรากฎขึ้น  ใบกุหลาบที่เกิดโรคจะเป็นจุดดำบริเวณผิวด้านบนของใบ ขนาดจุดประมาณ 1/นิ้ว ในแต่ละจุดจะเห็นเส้นใยเป็นขุย  เมื่อเป็นมากใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและร่วง  กุหลาบจะชงักการเติบโต
             วิธีการป้องกันและรักษา   กำจัดใบหรือต้นที่เกิดโรคโดยนำไปเผาไฟทิ้ง หลีกเลี่ยงการรดน้ำที่เปียกต้นและใบเนื่องจากใบที่เปียกจะเป็นที่เพาะเชื้อราได้อย่างดี  ควรฉีดพ่นยากำจัดเชื้อราที่ใบและต้นเพื่อเป็นการป้องกันก่อนเกิดโรคเพราะเมื่อเกิดโรคแล้วจะไม่มียารักษาได้

               

              โรคแอนแทรกโนส (Anthracnose)        เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งที่สามารถแพร่กระจายได้ดีในน้ำคล้ายกับโรคของใบจุดดำ  พบในช่วงที่มีฝนตกชุก  โดยจะมีจุดสีแดงหรือสีน้ำตาลเป็นวงเล็กๆ บนผิวใบด้านบน วงนี้จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาวขอบม่วง เมื่อเป็นมากใบจะเหลืองและร่วง
              วิธีการป้องกันและรักษา  ใช้วิธีเดียวกันกับการป้องกันรักษาโรคใบจุดดำ

     

           โรคราสีเทา (Botrytis)  ดอกตูมจะเป็นจุดสีน้ำตาล และลุกลามขยายใหญ่ทำให้ดอกเน่าแห้ง
                 วิธีการป้องกันและรักษา    เพื่อไม่ให้ดอกกุหลาบถูกฝนควรปลูกกุหลาบในโรงเรือนพลาสติก  กำจัดใบหรือต้นที่เกิดโรค    ฉีดพ่นสารเคมีด้านข้างและด้านบนดอกด้วย คอปเปอร์ ไฮดร๊อกไซด์ แมนโคเซ็บ หรือ คอปเปอร์ อ๊อกซี่คลอไรด์ เพื่อไม่ให้เชื้อราแพร่กระจาย
                 

                โรคหนามดำ  เกิดกับหนามของกิ่งอ่อนและลุกลามตามกิ่งก้าน  ทำให้ก้านเหี่ยวแห้งในที่สุดต้นจะตาย โดยแผลจะมีลักษณะเป็นรูปวงรี

        
   
             โรคราน้ำค้าง(Downey mildew)    เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Peronospora spasa ลักษณะการทำลาย อาการจะแสดงบน ใบ กิ่ง คอดอก กลีบเลี้ยง และกลีบดอก การเข้าทำลายจะจำกัดที่ส่วนอ่อน หรือส่วนยอด  โดยจะเกิดรอยปื้นสีดำที่ส่วนบนของใบ รอยดำนี้จะต่างจากโรคใบจุดดำ เพราะจะมีลักษณะค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมและใบจะร่วงหลังจากรอยดำปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่วัน 
                   

   แมลงศัตรูกุหลาบ
              นอกจากโรคแล้วศัตรูกุหลาบที่สำคัญอีกอย่างก็คือแมลง   ซึ่งผู้ปลูกกุหลาบพบบ่อยมากและอาจเคยชินมากกว่าโรค เนื่องจากการทำลายของแมลงมองเห็นได้ชัด  แมลงที่เป็นปัญหารบกวนกุหลาบเช่น

           
 ด้วงปีกแข็ง (Rose beetle) 
           มีทั้งชนิดที่มีลำตัวสีดำและลำตัวสีน้ำตาล เป็นแมลงกัดใบ โดยจะจับอยู่ตามใต้ใบและกัดกินใบเป็นอาหาร  หากินเวลากลางคืนส่วนกลางวันจะหลบอยู่ตามใต้ดินหรือกอหญ้าและแพร่พันธุ์บริเวณนั้น ตัวอ่อนจะอาศัยกัดกินรากหญ้าเป็นอาหาร  ป้องกันและกำจัดได้ด้วยการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงเช่น เซฟวินหรือคอนเดนทุกๆสัปดาห์

          เพลี้ยแป้ง (Mealy bug)เป็นแมลงปากดูด เคลื่อนที่ช้า อาศัยมดเป็นพาหนะ เกาะและกัดกินใบอ่อนทำให้ใบหงิกงอ  ลักษณะลำตัวมีปุยสีขาวคลุมอยู่และปุยนี้มีคุณสมบัติเป็นมันไม่จับน้ำ
           การฉีดพ่นน้ำแรงๆเพื่อให้เพลี้ยหลุดออกเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันและกำจัด ถ้าต้องใช้สารเคมีอาจพ่นด้วยมาลาไธออน โดยต้องผสมยาเคลือบใบลงไปด้วย
                                                                                                        

                 เพลี้ยไฟ   (Thrips)  เป็นแมลงปากดูดขนาดเล็กมาก  มีสีเทาจนถึงสีดำ  ตัวอ่อนจะมีสีขาวนวล   ชอบอาศัยอยู่ตามซอกกลีบ และชอบดูดน้ำเลี้ยงจากดอกตูม ดอกบาน ยอดอ่อน และใบ มักเกิดกับกุหลาบที่มีสีอ่อนๆ  ทำให้ดอกไม่บานหรือบานไม่ปกติ   กลีบดอกที่ถูกเพลี้ยไฟทำลายมีอาการลายด่างสีขาวควรระมัดระวังโดยเฉพาะช่วงที่มีอากาศแห้ง

             ป้องกันและกำจัดโดยการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงก่อนที่ดอกตูมจะบาน    หากมีการทำลายเกิดขึ้นแล้วให้เด็ดดอกที่เสียหายทิ้งและฉีดพ่นยาฆ่าแมลง

        


 เพลี้ยหอย 
              เป็นแมลงปากดูดที่กำจัดยาก   มักเกาะทำลายโดยดูดน้ำเลี้ยงจากลำต้น จะสังเกตเห็นเป็นจุดสีน้ำตาลอยู่บนกิ่งของกุหลาบ เพลี้ยหอยนี้มีลักษณะพิเศษ คือ ตัวของมันจะมีเปลือกหุ้มหนาเป็นรูปครึ่งวงกลม สีน้ำตาล  ทำให้ยาฆ่าแมลงซึมเข้าถึงตัวได้ยาก

              การป้องกันและกำจัดที่ได้ผลดีก็คือ ใช้น้ำมันทาหรือฉีดพ่นเคลือบตัวมันไว้ ทำให้เพลี้ยไม่มีทางหายใจ และตายในที่สุด แต่เมื่อเพลี้ยตายแล้วจะไม่หลุดจากลำต้นจะยังติดอยู่ที่เดิม
  

 เพลี้ยอ่อน (Aphids)
              เป็นแมลงปากดูด ลำตัวค่อนข้างใส ยาวประมาณ 1/นิ้ว สีเขียวหรือสีน้ำตาล หากินเป็นกลุ่ม โดยดูดน้ำเลี้ยงจากใบอ่อน  ยอดอ่อน  ทำให้ใบหงิกงอ  เพลี้ยอ่อนจะขับถ่ายออกมาทำให้เกิดคราบสีดำบนใบ  ซึ่งสิ่งขับถ่ายของเพลี้ยอ่อนนี้เป็นอาหาร ของมด  ดังนั้นมดจึงกลายเป็นพาหนะพาเพลี้ยอ่อนเคลื่อนที่ไปป้องกันและกำจัดโดยการใช้ยาฆ่าแมลงชนิดดูดซึม เช่นแอนดริน ฉีดพ่น
               ผึ้งกัดใบ (Leafcutter bees) ตัวสีดำ น้ำเงินหรือสีม่วง ใบที่ถูกกัดจะแหว่งเป็นรอยโค้งเป็นวงกลมหรือรูปไข่  ผึ้งไม่กินใบที่กัดเป็นอาหารแต่จะนำไปใช้ในการสร้างรัง
               ป้องกันและกำจัดได้โดยตัดกิ่งที่ใบถูกทำลาย   เนื่องจากผึ้งเป็นแมลงที่ช่วยในการผสมเกสรของพืชหลายๆชนิดจึงไม่แนะนำให้ใช้ยาฆ่าแมลง
     

 หนอนกินใบ

              เกิดจากหนอนผีเสื้อ กลางคืนหลายชนิด   วางไข่ตามใต้ใบ ไข่จะมีลักษณะเป็นแพคล้ายฟองน้ำ เมื่อฟักออกจากไข่ตัวจะมีสีเขียวและกัดกินใบที่เกาะอยู่ โดยจะกินเนื้อใบด้านล่างเท่านั้น จนใบที่ถูกกัดกินมีลักษณะโปร่งใส หรือเป็นรูแหว่ง

           ป้องกันและกำจัดโดยการฉีดพ่นด้วยยา Bacillus thuringiensis ที่ทำลายเฉพาะหนอนผีเสื้อแต่ไม่เป็นอันตรายต่อพืชและสัตว์อื่น

      


   หนอนเจาะดอก 
               ตัวผีเสื้อจะเข้าไป วางไข่ บนกลีบดอกด้านนอก และเมื่อไข่ฟักเป็นตัว หนอนจะเข้าเจาะกัดกินทำลายดอกเสียหายทำให้กลีบดอกเป็นแผล เป็นรู ดอกแคระแกรนเสียรูปทรง
            หากพบการระบาดของหนอนในปริมาณที่ไม่มาก ให้ใช้วิธีบี้ให้ตายหรือจับหนอนออกจากต้นแล้วนำไปทำลาย ให้ห่างจากแปลงปลูกหรือกระถางปลูก  หากมีการระบาดมากให้ฉีดพ่นยาฆ่าแมลงเช่น   ดริลดริน    ฟอสดริน

         


หนอนเจาะต้น 
            เกิดจากตัวอ่อนของผีเสื้อหรือตัวต่อ แตน เป็นหนอนสีขาวหรือเหลืองยาวประมาณ 1 นิ้วเกาะอยู่ตามลำต้น หนอนนี้จะเจาะเข้าไปในลำต้นหรือกิ่งที่ถูกตัดเพื่อเกาะกินไส้และบริเวณรอยต่อระหว่างกิ่งแห้งและกิ่งดี  ทำให้กิ่ง และลำต้นเหี่ยว  ที่ลำต้นจะมีลอยนูน โป่งยาวประมาณ 1 นิ้ว
            วิธีป้องกันและกำจัด   ตัดกิ่งที่เสียหายทิ้งโดยตัดให้ต่ำกว่ารอยนูน โป่ง เพื่อให้แน่ใจว่าตัดเอาหนอนทิ้งไปแล้ว  เพื่อเป็นการป้องกันหนอนเจาะต้นหลังจากตัดกิ่งแล้วให้อาบด้วยน้ำยาเคลือบมันที่ปลายกิ่ง

                

                ไรแดง (Spider mite)เป็นแมงมุมชนิดหนึ่ง ขนาดเล็กมากจนมองเห็นได้ยาก มีทั้งพวกที่มีสีแดง  ดำ เหลืองและเขียว   มักเกาะอยู่ใต้ใบคอยดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ใบแห้ง  เหลืองและร่วง  ป้องกันและกำจัดได้โดยการรดน้ำด้วยวิธีฉีดพ่นน้ำแรงๆช่วยกำจัดไรแดงในระยะแรกได้   ฉีดพ่นด้วยยาฆ่าแมลงเช่นยาโบรพาร์ไจน์ ได้ทุกๆ 15 วัน  พยายามเปลี่ยนยาเนื่องจากถ้าใช้ยาเดิมไรแดงจะสามารถต้านทานฤทธิ์ยาได้  ไรแดงแพร่ขยายพันธุ์ได้เร็วภายในเวลาไม่กี่วันจึงควรฉีดพ่นยาบ่อยๆ
               

             

อาหารจากกลีบกุหลาบ
         คุณอาจนึกไม่ถึงว่ากลีบกุหลาบนำไปทำอาหารได้  แต่นั่นเป็นเรื่องจริงปัจจุบันนี้มีผู้นำกลีบกุหลาบไปสร้างสรรค์อาหารหลากหลายเมนู แต่การนำกลีบกุหลาบมาทำอาหารต้องให้แน่ใจว่ากุหลาบของคุณไม่มีสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงตกค้างอยู่ดังนั้นควรเลือกกุหลาบที่คุณปลูกเองน่าจะปลอดภัยและเชื่อใจได้มากกว่าสำหรับเมนูอาหารจากกลีบกุหลาบที่จะแนะนำนี้มีทั้งอาหารไทยและเทศ ถ้าสนใจจะลองทำรับประทานก็จัดการได้เลย

ยำกลีบกุหลาบ
                 เมนูนี้เป็นอาหารไทย จากเว็บ www.kruaklaibaan.com  เป็นอาหารทานเล่น รสจัดจ้านถูกใจเราๆท่านๆที่เป็นคนไทยแน่นอน อย่าลืมนะคะเพื่อความปลอดภัย กุหลาบต้องปลอดสารเคมี

 เครื่องปรุง
          กุหลาบแกะเอาแต่กลีบรอบๆ 1 จาน (กลีบตรงกลางใกล้เกสรจะขมมากเลยไม่เอา)
          หอมใหญ่หรือหอมแดง หั่นบางๆ 1/2 ถ้วย
          น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
          น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
          น้ำมะนาว 2-3 ช้อนโต๊ะ
          พริกขี้หนูซอย 4-5 เม็ด
          กุ้งสด ปริมาณตามชอบ ใครจะใช้หมูสับแทนก็ได้
          ผักชี ตามชอบถ้าต้องการใส่
          

วิธีทำ
           1. ล้างดอกกุหลาบให้สะอาดก่อน แล้วเด็ดเอาแต่กลีบพักให้สะเด็ดน้ำ    หอมใหญ่ พริกขี้หนู ล้างแล้วก็ซอย พักไว้   เอาน้ำใส่หม้อตั้งไฟพอเดือดเอากุ้งลงไปลวกให้สุก ถ้าใช้หมูสับก็รวนหมูให้สุกก่อนด้วย ลวกกุ้งสุกแล้วก็เอาใส่ชาม พักไว้ก่อน

          2.  ทีนี้ทำน้ำยำ โดยเอาพริกขี้หนูซอย น้ำตาล น้ำปลา น้ำมะนาวใส่ถ้วยเล็กๆคนให้ทุกอย่างเข้ากัน ชิมรสตามชอบขาดเหลือเพิ่มเติมได้    ทำน้ำยำเสร็จแล้วก็เอากุ้งสุกแล้ว หอมใหญ่ และน้ำยำผสมรวมกันในชาม คนให้ส่วนผสมเข้ากัน แล้วใส่กลีบกุหลาบลงไป เคล้ากลีบกุหลาบให้เข้ากันกับเครื่องยำ อย่าเคล้าแรงนะเดี๋ยวกลีบกุหลาบจะช้ำไม่น่าทาน เสร็จแล้วตักใส่จานเสริฟได้ จะใช้ผักแต่งหน้าหรือแต่งจานด้วยก็ได้
         อาหารจานนี้เหมาะสำหรับเป็นของแกล้มสำหรับผู้ชอบดื่มได้ด้วย รสชาติจะออกขมนิดๆจากดอกกุหลาบนะ

         เยลลีกลีบกุหลาบ ( rose petal jelly)
  
                                                                            ส่วนผสม


                กลีบกุหลาบ 3-4 ถ้วย                       
                น้ำเปล่า  4 ถ้วย

                น้ำตาลทราย 4 ถ้วย

                น้ำมะนาว

                ใบสะระแหน่ 1 ช่อ

                ผงวุ้น  1 ห่อ

 วิธีทำ
        เทน้ำและกลีบกุหลาบใส่หม้อ ตั้งไฟให้เดือด เคียวต่อประมาณ 5 นาที ดับไฟและปิดฝาหม้อ ทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที เติมใบสะระแหน่ลงไปแล้วทิ้งไว้อีก 15 นาที  จากนั้นนำมากรอง   เติมน้ำมะนาว สังเกตดูจะเห็นน้ำสีชมพูคล้ำๆ เริ่มเป็นสีชมพูใสขึ้น  เทกลับลงไปในหม้อ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่ผงวุ้นลงไป แล้วคนจนละลายเข้ากัน   เติมน้ำตาลและตั้งไฟต่ออีกประมาณ 3 นาที ต้องคนไปเรื่อยๆ จากนั้นเทเยลลีลงในขวดแก้วที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยการสเตอรีไรซ์แล้ว  ผนึกฝาขวดแก้วให้แน่น

 ลูกกวาดกลีบกุหลาบ  (candy rose petal)

 เครื่องปรุง
            กลีบกุหลาบขนาดพอเหมาะ
            ไข่ (เอาแต่ไข่ขาว)
            น้ำตาล
            
       

                                                                         
       
วิธีทำ
          เลือกกลีบกุหลาบขนาดพอเหมาะที่จะทำเป็นลูกกวาด จากนั้นนำไปชุบในไข่ขาวที่ปั่นแล้วให้ชุ่มทั้งกลีบ นำกลีบกุหลาบที่ชุบแล้วคลุกลงไปในน้ำตาลละเอียด จนน้ำตาลเกาะทั่วทั้งกลีบ จากนั้นนำมาวางไว้บนกระดาษไข ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 4-8 ชั่วโมง    ก็จะได้ลูกกวาดกลีบกุหลาบสำหรับทานเล่น หรือใส่ในขนมหรือเครื่องดื่มอื่นๆ หรือใช้ประดับตกแต่งหน้าขนมต่างๆ

                 นานาประโยชน์ของผลกุหลาบ

             เมื่อพูดถึงกุหลาบทุกคนมักจะนึกถึงแค่ดอกหรือไม่ก็ต้นกุหลาบเท่านั้น มีสักกี่คนที่จะรู้ว่ากุหลาบก็มีผลเหมือนกัน แล้วผลกุหลาบมันคือส่วนไหนของกุหลาบกันล่ะ   ผลกุหลาบ  (Rose Hip) คือส่วนที่เป็นรังไข่โดยเมื่อเริ่มติดผลส่วนที่เป็นรังไข่จะขยายพองโตขึ้นโดยมีฐานรองดอกหุ้มไว้   ผลมีรูปร่างต่างๆ กันตามชนิด เช่น กลม กลมแป้น ยาวรี  มีเนื้อนุ่ม และมีหลายสี เช่น สีส้ม สีแดง สีเหลือง หรือสีน้ำตาล บางทีก็เป็นสีม่วง ภายในผลจะมีเมล็ดเล็กๆ

 
             

            นอกจากกลีบกุหลาบที่กินได้แล้วผลกุหลาบก็กินได้เช่นเดียวกันเพราะผลกุหลาบเป็นแหล่งรวมธาตุอาหารต่างๆมากมายที่ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้นโดยเฉพาะวิตามินซี  ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้นำผลกุหลาบไปทำอาหารบ้าง  ทำยารักษาโรคบ้างและแม้แต่สกัดน้ำมันไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง

 ผลกุหลาบกับอาหาร
           เป็นที่ทราบกันว่าคนพื้นเมืองอเมริกันนำกุหลาบและผลกุหลาบมาทำอาหารมาเนิ่นนานหลายศตวรรษแล้ว  ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คนอังกฤษมีการระดมปลูกกุหลาบเพื่อนำผลกุหลาบมาทำอาหารกันเป็นจำนวนมากเนื่องจากผลกุหลาบมีวิตามินซีมากและในช่วงนั้นผลไม้รสเปรี้ยวเช่นส้มขาดแคลนไม่สามารถนำเข้าประเทศได้ทำให้ต้องใช้ผลกุหลาบในการให้วิตามินซีแทน  อกจากนี้ผลกุหลาบยังนำไปทำอาหารได้หลายชนิด เช่นทำแยม  ทำเยลลี    ทำซุป ทำไวน์และชงเป็นชา



      

  แหล่งรวมวิตามิน
             ผลกุหลาบยังเป็นแหล่งรวมของวิตามินต่างๆเช่นวิตามินเอ   วิตามินซี   วิตามินบี 3  วิตามิน บีคอมเพลกซ์  วิตามินดีและวิตามินอี  รวมทั้งมีน้ำตาลฟรัคโตส  กรดซิตริค  กรดมาลิค  สังกะสี  เหล็ก  โปแตสเซียมและ แมกนีเซียมด้วยโดยเฉพาะวิตามินซีมีมากกว่าผลไม้รสเปรี้ยวจำพวกส้มถึง 20 เท่า

 ผลกุหลาบกับสรรพคุณทางยา
               ปีค.ศ 2007 ทีมนักวิจัยชาวเยอรมันและเดนมาร์กได้ทำการศึกษาประโยชน์ของผลกุหลาบต่อการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ในการศึกษาจากจำนวนอาสาสมัครประมาณ 74 คน (ส่วนใหญ่เป็นหญิง)ได้ทำการทดลองเป็นระยะเวลา เดือนโดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งรับประทาน placebo หรือยาที่ไม่มีฤทธิ์ทางยาใช้หลอกคนไข้ fake treatment อีกกลุ่มทานผลกุหลาบผลปรากฎว่ากลุ่มที่ทานผลกุหลาบเป็นประจำจำนวน25 % จะมีอาการปวดลดลงถึง 40 %   ส่วนกลุ่มที่ทาน placebo ไม่มีรายงานการเปลี่ยนแปลง
               กล่าวกันว่าชาที่ทำจากผลกุหลาบมีประสิทธิภาพดีในการรักษาโรคท้องร่วง และการติดเชื้อโดยเฉพาะการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ   ช่วยให้ไตแข็งแรง   วิตามินซีจากผลกุหลาบช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัด  บรรเทาอาการปวดศีรษะ    ซึ่งชาวนิวซีแลนด์มีชื่อเสียงมากในการทำน้ำเชื่อมจากผลกุหลาบ ให้เด็กๆรับประทานในหน้าหนาวเพื่อป้องกันไข้หวัด นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบการหมุนเวียนของโลหิตดีขึ้น

                 

            ผลกุหลาบกับสรรพคุณทางเครื่องสำอาง

   น้ำมันสกัดจากผลและเมล็ดกุหลาบนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางมากมายโดยเฉพาะเครื่องสำอางบำรุงผิว


                       

            ดังนั้นในครั้งต่อไปถ้าคุณนึกถึงชาหอมๆที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย คิดถึงอาหารช่วยบำรุงหัวใจ หรือคิดถึงยาที่ใช้บรรเทาอาการปวดจากโรคข้ออักเสบ คุณไม่ต้องไปมองไกล ผลกุหลาบในสวนของคุณนั่นแหล่ะ แต่ต้องจำไว้ว่าแม้ผลกุหลาบจะไม่มีพิษ  แต่ถ้าคุณได้มาจากที่อื่นที่ไม่ใช่ในสวนของคุณเองต้องแน่ใจว่าไม่มีสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงตกค้างอยู่   มิฉะนั้นแทนที่คุณจะได้รับประโยชน์เต็มที่คุณอาจได้รับผลในทางลบต่อสุขภาพของคุณ

แหล่งอ้างอิง

                            จุฑามาศ  อ่อนวิมล. การปลูกกุหลาบ. โครงการหนังสือเกษตรชุมชน. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ. 111 หน้า.
                            สมเพียร  เกษมทรัพย์.  การปลูกไม้ดอก . ภาควิชาพืชสวนคณะเกษตร. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ . 455 หน้า
         
 ผู้จัดทำ

   นางสาวอนุชตรา   สมตัว
นักศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคาม

คณะวิทยาลัยการเมืองการปกครอง
สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
รหัสนิสิต 56011316164

คติประจำตัว :  ไปให้ถึงฝัน


สามารถติดต่อได้
www.facebook.com / n-zee  cresendo
www.twitter.com / anuchatra somtua
email : kimkibom_n-zee@hotmail.co.th